Monday, December 19, 2005

108 มุมมองโลกแบบอริยบุคคล

108 มุมมองโลกแบบอริยบุคคลนั้น จะบอกเราว่าบรรดาพระอริยบุคคลทั้งหลาย ท่านมองเห็นโลกอย่างไร
ซึ่งเราก็สามารถมองผ่านมุมมองเหล่านี้ได้เช่นกัน หากว่าในขณะนั้นเราปลอดจากอัตตาและรู้ตามจริง
เริ่มที่
1. อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
2. โลกนี้ยุติธรรมสำหรับทุกรูปนาม
3. ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีอะไรทั้งนั้น มันเป็นผืนเดียวเรียบสนิทไปหมด
4. ไม่มีตัวเรา มีแต่รูปนามที่เกิดดับตลอดเวลา

หวิดๆ หวุดๆ

การละสักกายทิฏฐิ เพื่อให้เห็นว่าแท้จริงตัวเราของเรานั้นไม่มี
เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ช่วงนี้มีความรู้สึกว่าหวุดหวิดจะเห็น (จังหวะที่จิตขาดจากกัน) แต่ก็ได้แค่เกือบ
อย่างไรก็ตาม เราตั้งใจว่าจะงดพูดถึง หรืองดคิดถึงเรื่องการละสักกายทิฏฐิไปเลย
จนกว่าจะได้เห็นเอง
เพราะเกรงว่าจิตจะอยากเห็น และย้ำคิดจนกลายเป็นการหลอกตัวเองขึ้นมา
ดังนั้นนี่จึงเป็นโพสท์สุดท้ายก่อนถึงโสดาบัน
ที่เราจะบอกตัวเองว่ามรรคผลอยู่ใกล้แค่นี้แล้ว
กำลังจะเหยียบธรณีประตูแล้ว

จากนี้ไป ให้ใจเขาเรียนเอง

เปิดประตูหัวใจมารดาบิดาด้วยทาน

วันนี้ได้ให้ ส.ค.ส. เป็นเงินแก่คุณแม่ คุณพ่อ และน้องสาว คนละ 5,000 บาท
ทุกคนเบิกบานขึ้น จิตใจของทุกคนฟูขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
และนี่ก็ยิ่งยืนยันได้ว่า เมื่อเราศรัทธาในการทำทานอย่างเต็มที่
ความฉลาดในการทำทานก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น
ทำให้เราทำทานที่ประณีตขึ้น อานิสงส์สูงขึ้น

จากนี้เราก็คงจะทำสังฆทานได้อย่างโปร่งโล่งมากขึ้นหละ

ออ สำหรับการร่วมทุนกับอาจารย์สุรวัฒน์นั้น
จะเป็นไปในลักษณะการกุศล
คือกำไรจะไม่กลับสู่ผู้ลงทุน แต่จะไปที่กองทุนห้องสมุดธรรมะแทน
ดีเลย เราจะได้ตัดใจเรื่องผลกำไรไปเลย
เงินสองหมื่นที่ตั้งใจจะลงทุน ก็จะยังคงทำตามที่ตั้งใจไว้
คือมอบให้กับธุรกิจที่ดำเนินงานโดยอาจารย์สุรวัฒน์
ถือเป็นการทำทานได้ และเราเองก็จะได้ละวางอัตตา ความโลภไปด้วย


ม: ส.ค.ส. ขอเป็นพระเจ้าอยู่หัว ....
อ: ก็นี่พี่เอ๋จะให้ตังค์ไง
ม:
อ้ายยย (ยิ้มหน้าบาน)
พ: ยิ้มหน้าบาน

นึกถึงเรื่องเล่าของพันเอกพิเศษทองคำ ศรีโยธินขึ้นมาเลย

ที่ว่าเงินสามร้อยนั้นเลี้ยงหัวใจแม่

อดทนหน่อย อีกไม่เกิน 7 ปีหรอก ... พรทิพย์น่ะ

เอาโสดาก่อนนะ แล้วค่อยคิดเรื่องพรทิพย์
อดทนไว้ เวลาเหงาก็ดูไปตรงๆ อย่ากลัว ให้ใจเรียนรู้ไปทีละน้อยๆ
อีกไม่นานหรอก คงจะถึงวันที่อุปาทานมันคลายไปเอง
ถึงวันนั้นจะทุ่มเทหัวจิตหัวใจให้เขาแค่ไหนก็ย่อมได้หรอก
หรือถึงแม้วันนั้นเขาจะไม่มีช่องว่างให้เราเข้าถึงได้แล้ว (ก็อายุ 34 แล้วนี่ คงจะถึงเวลามีครอบครัวแล้ว)
มันก็คงจะไม่เศร้าถึงขนาดจะฉุดใจให้ลงภูมิเปรตได้อีก
ความทรมานอย่างยิ่งก็คงจะไม่มีอีกต่อไป

Sunday, December 18, 2005

My Idols, My Heroes

อริยะฝ่ายฆราวาสผู้อยู่กับโลกอย่างเป็นธรรมชาติ
- อาจารย์สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา

อริยะฝ่ายฆราวาสผู้มีความสุภาพอ่อนโยน
- พี่ดังตฤณ

อุบาสกผู้เป็นเลิศในการทำทาน
- พี่ใหม่แห่งร้านบานาน่า ผู้ที่ยินดีสละทรัพย์จำนวนมากมหาศาลเพื่อร่วมทำทาน และยิ่งนับวันยิ่งทำมากขึ้นเรื่อยๆ
(แต่ผลที่ได้รับฟังมาก็คือ ยิ่งสละออกไป ยิ่งได้กลับมามากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อสละความอยากบุญได้ (กรณีป่าละอู)
ปรากฏว่าพี่ใหม่มีความเจริญในธรรมเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว) เห็นท่านแล้วทำให้ระลึกถึงบรรดาเศรษฐีผู้เป็นอุบาสกสำคัญๆในสมัยพุทธกาลเลยทีเดียว

การมีแบบอย่างที่น่าชื่นชมนั้นดีไฉน
การมีแบบอย่างนั้น ทำให้เรามั่นใจในการดำเนินรอยตามปฏิปทาของท่านเหล่านั้น
เช่น เราสามารถมั่นใจได้ว่า การอยู่กับโลกก็สามารถบรรลุธรรมได้โดยไม่ต้องไปบวช โดยดูจากอาจารย์สุรวัฒน์
เราสามารถมั่นใจได้ว่า ถ้าทำทานอย่างเสียสละได้เต็มที่แล้ว ไม่มีทางที่จะไม่ได้กลับมา
เพียงแต่การทำทานนั้นเราต้องทำด้วยใจบริสุทธิ์ไม่หวังผลตอบแทน
เช่น พี่ใหม่ ทำด้วยที่ดิน ก็ได้ที่ดินกลับมาอย่างง่ายดาย
หรือพี่ดังตฤณที่ท่านมีความเคารพในหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง
ท่านก็สมควรแก่การเคารพตอบเช่นกัน ไม่นับรวมที่ท่านทำบุญใหญ่อันเป็นการแสดงการสักการะหลวงปู่ดูลย์ด้วย

สิ่งดีๆในช่วงนี้ที่ข้าพเจ้าประทับใจ

1. การได้รับความเอ็นดูจากหลวงปู่ประสิทธิ์ เชื่อเหลือเกินว่า
หลังจากที่ได้รับกระแสสาธุการจากท่านในวันที่เราไปช่วยทำงานก่อสร้างเมรุเผาศพปลอดมลพิษ
และถวายปัจจัยเป็นสังฆทานก่อนกลับ
รวมทั้งการที่ท่านเมตตาลูบหัวเราอันเปรียบเหมือนการได้รับพรอันประเสริฐจากพระอรหันต์
เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราได้เสวยวิมานบนดินอยู่ในขณะที่บันทึกนี้
โดยมีความสมบูรณ์ทั้งโภคทรัพย์ อัตภาวะความเป็นอยู่ และความสมบูรณ์พร้อมของสติปัญญา

2. การได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อปราโมทย์ ที่รู้สึกได้ว่ามีกระแสยินดี
และความเมตตาอันยิ่งที่จะส่งสัตว์โลกอีกผู้หนึ่งไปให้เห็นฝั่ง
ในวินาทีที่ท่านหยุดให้เราได้กราบเท้า
ความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นในขณะนั้นคงจะบรรยายด้วยคำพูดไม่ได้
ขณะกราบลาท่าน ท่านก็สาธุการพร้อมให้กำลังใจอีก ว่าให้เราตั้งใจทำต่อไป
(นี่เราจะทิ้งโอกาสนี้ไปได้หรือ หลวงพ่อท่านช่วยส่งแรงให้ขนาดนี้แล้ว เหมือนมรรคผลรอจ่ออยู่แล้ว ไม่เกิน 7 ปีแน่ๆอย่างนี้)
ปล. ตอนดูท่านตักอาหารใส่บาตร น้ำตาปีติไหลออกมาเลยหละ เป็นขณะที่รู้สึกซาบซึ้งที่ได้เห็นท่านอยู่ตรงหน้า สาธุ

3. ในชั่วเวลาข้ามวันข้ามคืนเล็กน้อย เงินทองมากมายก็หลั่งไหลมาให้เราได้นำไปใช้ประโยชน์
ทำให้เราสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในงานเดียวกับอาจารย์สุรวัฒน์ที่เราเคารพรักได้

เดือนนี้เป็นเดือนที่ดีจริงๆหนอ
ได้กราบพระอริยบุคคลถึงสองรูป พร้อมทั้งได้ทำบุญกับท่าน บุญใหญ่ด้วย เพราะทำทั้งแรงทำทั้งปัจจัยอย่างเต็มใจยิ่ง
แล้วจะได้มีโอกาสร่วมงานกับพระอริยบุคคลอีกท่านหนึ่งต่างหาก
อ้อ! ได้กราบเท้าคุณแม่ด้วยนี่นา การได้ปรนนิบัติท่านก็เป็นเหตุปัจจัยของกุศลอันใหญ่ด้วยเหมือนกัน

ธันวาคม 2546 เดือนแห่งมหากุศล

กระแสไม่อำนวยก็อย่าฝืน

สัญชาตญาณบอกว่า
ไม่มีแรงสนับสนุนจากธรรมให้เราได้ครองรักกับพรทิพย์
ที่แน่ๆคือ ไม่มีกระแสสนับสนุนจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์
ไม่มีกระแสสนับสนุนจากเทพเทวา
ไม่มีกระแสบุพเพสันนิวาสพาส่ง
และที่สำคัญที่สุดคือจิตเหนือสำนึกปรารถนานิพพานมาก่อนความต้องการครองคู่แบบโลกๆ

สิ่งที่พอจะทำได้คือ
เมื่อใดที่ฟุ้งซ่านขึ้นมา
ก็เจริญวิปัสสนา ดูความเป็นจริงเข้าไปตรงๆอย่างนั้น
ใจจะทุกข์จะสุขก็ให้รู้
ยอมแลกเป็นแลกตาย อย่ากลัวใจจะเจ็บ
เพราะการหวงใจห่วงจิตตนเอง เป็นธรรมคนละขั้วกับทางสายกลาง
ปิดกั้นประตูสู่ความล่วงทุกข์

แต่ถ้ามันแย่มากจริงๆ แล้วช่วงนั้นมีความเสี่ยงที่จะไปอบายอย่างยิ่ง
ก็ใช้ปัญญาพิจารณาดู ว่าจะทำสมถะหลบไปเก็บแรงก่อนหรือไม่

สมถะและวิปัสสนา คือธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง

อย่าฆ่าห่าน

เสวยผลของทาน ที่ทำได้ด้วยศรัทธาเต็มเปี่ยม สู้ราคาถึงไหนถึงกัน
ก็อย่าหยุดทำทาน ลดความเข้มข้นของทานจิต
input ต้องเท่ากับหรือมากกว่า output เสมอถึงจะดี

อย่ากลัว
ตอนที่ไม่มียังไม่เห็นกลัว
พอมีขึ้นมา ดันจะกลัวเพราะอัตตามันหลอกให้เกิดความตระหนี่ซะอย่างนั้น

คุณแม่จะขัดก็อย่าใส่ใจ
ทำใจให้เป็นกลางต่อเสียงทัดทาน
ช่วยตัวเองก่อน แล้วค่อยคิดหาทางช่วยผู้อื่น
อย่าให้เรื่องของทานทำให้เกิดโทสะ
มันคนละขั้วกันเลย

ได้ไข่ทองคำแค่ไม่กี่ฟอง
อย่าเพิ่งคิดฆ่าห่าน

ศักยภาพของรูปธรรม ชื่อสมมติ "พิรุฬห์"

วันนี้ได้รับไฟล์เสียงจากรี่
เป็นเสียงเทศนาของหลวงพ่อปราโมทย์ในวันที่เราได้ไปกราบท่านครั้งล่าสุด
ได้ฟังอีกครั้งก็ยิ่งแน่ใจว่า กระแสความเมตตาปรานีจากท่านที่มีต่อเรานั้น
เป็นกระแสที่หวังให้เราเติบโตในทางธรรม ให้ไปถึงมรรคถึงผลให้ได้
ย้อนนึกดู ก็ระลึกได้ว่า หลวงพ่อท่านเคยกล่าว
เมื่อสติตัวแท้ตื่นขึ้น จะใช้เวลาอีกไม่นาน
อย่างมากก็เจ็ดปี
โอ!! อีกไม่เกินเจ็ดปีเราก็จะได้ลิ้มรสนิพพานแล้ว
แต่ดูเถอะ! ถ้าเกิดว่าจะหลงระเริงเหลิงฟุ้งเพราะคำให้กำลังใจจากหลวงพ่อละก็
มีหวัง หลุดออกมาจากทางอีกแน่
ต้องตั้งใจแล้วเรา! ตั้งใจ ตั้งใจ ตั้งใจ
เอาจริง!!! เรื่องรักๆใคร่ๆเก็บไว้ก่อนเถอะ
ให้ได้โสดาปัตติผลแล้วค่อยกลับมาคิดก็ยังไม่สาย (หรือสายก็ไม่ทุกข์โศกโสกามากหรอก เพราะว่าเห็นนิพพานไปแล้ว)
หลวงพ่อท่านเมตตาชี้แนะว่า
ถ้าอยากละสักกายทิฏฐิได้เร็วๆ
ต้องขยันตามรู้บ่อยๆ ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาบ่อยๆ
จนจิตยอมจำนนต่อความจริง ละความเห็นผิดไปเอง

สู้! แลกเป็นแลกตาย!!!

Friday, December 16, 2005

Good Will Investment

การลงทุนที่ให้ผลแน่นอนที่สุด ต้องเป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงเท่ากับศูนย์
เช่นเดียวกับผู้ที่ลงทุนบำเพ็ญเพียรภาวนาจนเข้ากระแสพระนิพพาน ความเสี่ยงที่จะคลาดเคลื่อนไปจากพระนิพพานนั้นเป็นศูนย์
วันนี้ที่ข้าพเจ้าสามารถร่วมลงทุนในธุรกิจเดียวกันกับอาจารย์สุรวัฒน์ที่น่าเคารพอย่างยิ่งได้ ถือเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่โดยแท้
เป็นการ merge โลกุตตรธรรมเข้ากับโลกียธรรมในแบบที่ข้าพเจ้าอดรู้สึกสนใจไม่ได้

โดยปรกติหากข้าพเจ้ามีเงินเหลือจากกินใช้ ข้าพเจ้าจะเล็งประโยชน์ของส่วนที่เหลือนั้นไปที่การทำทาน
ซึ่งก็นับเป็นการลงทุนในอีกแบบหนึ่ง โดยผลที่หวังนั้นไม่อาจจะรู้ได้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่ที่รู้คือ กลับมาแน่!
มาวันนี้จะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจร้านกาแฟตามมุมมองของสมมติโลก
พร้อมกันนั้นก็ได้ร่วมทำทานไปกับพระอริยบุคคลคืออาจารย์สุรวัฒน์
เพียงแค่คิดว่าจะได้ทำอย่างนั้นก็ปีติเหลือแสนแล้ว

เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อเรามีใจรักในการทำทาน และหมั่นทำเสมอๆ
ความฉลาดในการทำทานนั้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อีกทั้งโอกาสในการทำทานที่ใหญ่ขึ้นไปก็จะเผยตัวเองมาให้เราได้ร่วมบุญอีกเรื่อยๆเช่นกัน
นี่เอง ... เส้นทางสะสมทานบารมี เป็นอย่างนี้เองหนอ

ปฐมเหตุของบันทึก

... เพราะคำพูดของหลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชโช ผู้ที่ข้าพเจ้านับถือเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์
ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงกระแสแห่งความเมตตาอย่างยิ่งในคำพูดนั้น
ความอาทรในกระแสนั้นเข้มข้นเป็นล้นพ้น ทว่าก็เบาสบายเป็นที่สุดเช่นกัน
...
ข้าพเจ้าเชื่อว่า ณ ขณะนั้น มรรคผลอยู่ไม่ไกลแล้ว
ถึงแม้จะยังไม่เห็นว่าอยู่ที่ไหน ไม่ทราบว่าฝั่ง(โอฆะ)อยู่ทางทิศใด
แต่ด้วยกระแสที่ส่งออกมาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์
ข้าพเจ้าพอจะคลำทางได้

ช่วงนี้จึงเปรียบเหมือนหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ
ข้าพเจ้าอยากบันทึกวัตรของข้าพเจ้าไว้คร่าวๆ พอเป็นทางให้ผู้ที่สนใจในการหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ได้ใช้ศึกษาในอนาคต
หากข้าพเจ้าได้เข้าถึงมรรคผลแล้วจริงๆ บันทึกนี้คงเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย
แต่หากข้าพเจ้ากลับถอยหลังเข้าคลองไปอีก ข้อความนี้ก็คงจะเป็นประโยชน์ได้อีกเช่นกัน (เพราะว่าถ้าเรารู้ว่าอะไรผิด นั่นคือเรากำลังรู้สิ่งที่ถูก)

ขอให้ผู้ที่มีโอกาสได้อ่านบันทึกนี้ จงมีความเจริญในโลกุตตรธรรมกันถ้วนหน้ายิ่งๆขึ้นไป เทอญฯ